❓ ทำไมคนเป็นโรคหัวใจต้องใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker)
และถ้าไม่ใส่ได้ไหม?
เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ใช้ในผู้ป่วยโรคหัวใจบางประเภท โดยเฉพาะผู้ที่หัวใจเต้นช้าผิดปกติ หรือมีปัญหาในการส่งสัญญาณไฟฟ้าในหัวใจ ซึ่งเครื่องนี้จะช่วยส่งกระแสไฟฟ้าเล็ก ๆ ไปกระตุ้นหัวใจให้เต้นในอัตราที่เหมาะสม เพื่อให้เลือดสูบฉีดไปเลี้ยงร่างกายเพียงพอ ลดความเสี่ยงของการหมดสติ หัวใจล้มเหลว หรือเสียชีวิต
🔎 ทำไมต้องใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ?
ภาวะหัวใจเต้นช้า (Bradycardia)
หัวใจเต้นน้อยกว่า 60 ครั้งต่อนาที ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองและอวัยวะไม่พอ
ผู้ป่วยอาจมีอาการเวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลม เหนื่อยง่าย หรือหมดสติ
เครื่องกระตุ้นหัวใจจะช่วยให้หัวใจกลับมาเต้นสม่ำเสมอและเพียงพอ
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmia)
เช่น หัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ หรือมีโรคหลอดเลือดหัวใจร่วมด้วย
เครื่องกระตุ้นหัวใจช่วยควบคุมจังหวะการเต้นให้ปกติ ป้องกันอันตรายที่เกิดจากหัวใจเต้นผิดจังหวะรุนแรง
ปัญหาการนำไฟฟ้าในหัวใจ (Heart Block)
สัญญาณไฟฟ้าที่ส่งจากห้องบนไปยังห้องล่างของหัวใจผิดปกติ
ทำให้หัวใจเต้นช้า หรือเต้นไม่เป็นจังหวะ
เครื่องกระตุ้นหัวใจทำหน้าที่แทนระบบไฟฟ้าที่บกพร่องนี้
ป้องกันภาวะหัวใจล้มเหลว
ถ้าหัวใจเต้นผิดปกติบ่อย ๆ อาจทำให้หัวใจทำงานหนักจนล้มเหลว
การใส่เครื่องกระตุ้นช่วยลดความเสี่ยงและยืดอายุการทำงานของหัวใจ
⚠️ ถ้าไม่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจได้ไหม?
หากแพทย์ประเมินแล้วว่า “ควรใส่” การไม่ใส่อาจมีความเสี่ยงสูง เช่น หมดสติบ่อย เสี่ยงหัวใจหยุดเต้น หรือเสียชีวิตกะทันหัน
สำหรับบางรายที่อาการไม่รุนแรง แพทย์อาจให้ติดตามอาการก่อน แต่ถ้าอาการแย่ลง ก็ยังต้องกลับมาใส่อยู่ดี

❓ ถ้าไม่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจจะเกิดอะไรขึ้น
สำหรับผู้ป่วยที่มีความจำเป็นต้องใส่ เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) แต่ไม่ได้รับการรักษา อาจส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพและชีวิต ดังนี้
1. หมดสติ
เลือดสูบฉีดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ทำให้สมองขาดออกซิเจน ผู้ป่วยอาจมีอาการเวียนศีรษะ หน้ามืด หรือหมดสติได้บ่อยครั้ง
2. หัวใจวาย
กล้ามเนื้อหัวใจไม่ได้รับออกซิเจนเพียงพอ เซลล์หัวใจอาจตายและส่งผลให้หัวใจล้มเหลว เป็นอันตรายถึงชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
3. คุณภาพชีวิตแย่ลง
ผู้ป่วยจะไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้สะดวกเหมือนเดิม ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ส่งผลให้การทำกิจวัตร เช่น เดิน ออกกำลังกาย หรือทำงานต่าง ๆ ลำบากมากขึ้น
👩⚕️ ผู้ป่วยที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ ใช้ชีวิตอย่างไร
ผู้ป่วยที่ได้รับการใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจสามารถมีชีวิตที่ใกล้เคียงปกติได้ แต่ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างเพื่อดูแลสุขภาพและป้องกันความเสียหายต่อเครื่อง
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่อาจรบกวนเครื่อง เช่น การใช้แม่เหล็กแรงสูง
ออกกำลังกายเบา ๆ – เดิน ยืดเหยียด หรือออกกำลังที่ไม่ใช้แรงมาก
งดบุหรี่ งดกาแฟ และเลือกอาหารที่ดีต่อหัวใจ
พักผ่อนให้เพียงพอ
🩹 การดูแลแผลหลังผ่าตัดใส่เครื่อง
หลีกเลี่ยงน้ำโดนแผลใน 5–7 วันแรก
ไม่เกา กด หรือเสียดสีแผล
ห้ามยกของหนักหรือใช้แขนข้างที่ใส่เครื่องมากเกินไปในช่วง 4–6 สัปดาห์แรก
ใส่เสื้อผ้าหลวมสบาย ไม่กดทับแผล
ทำความสะอาดและเปลี่ยนผ้าปิดแผลตามคำแนะนำ
🏃♂️ กิจกรรมที่สามารถทำได้
เดินเล่นหรือเดินเร็ว
ออกกำลังกายเบา ๆ เช่น โยคะ ยืดเหยียด
ทำงานประจำวันตามปกติ (เมื่อแพทย์อนุญาต)
ขับรถหรือเดินทางได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
🩺 การติดตามแพทย์
ตรวจเช็กการทำงานของเครื่องทุก 2–6 เดือน
ตรวจดูแผลผ่าตัดและอาการโดยรวม
เช็กอายุการใช้งานของแบตเตอรี่และปรับการตั้งค่าหากจำเป็น
🌟 การใช้ชีวิตให้มีความสุขหลังใส่เครื่อง
มองโลกในแง่ดี ยอมรับการเปลี่ยนแปลง
ดูแลสุขภาพกายและใจ
สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง
วางแผนเป้าหมายชีวิตและทำกิจกรรมที่ชอบ
🔋 เครื่องกระตุ้นหัวใจอยู่ได้นานแค่ไหน?
แบตเตอรี่ มีอายุการใช้งานเฉลี่ย 7–10 ปี (ขึ้นอยู่กับการใช้งานและการตั้งค่า)
เมื่อแบตเตอรี่หมด จะต้องผ่าตัดเปลี่ยนแบตเตอรี่ แต่ ตัวเครื่องหลักสามารถใช้ได้นานหลายสิบปี หากยังทำงานปกติ
ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเครื่องใหม่ทั้งชุด เว้นแต่มีปัญหาหรือความผิดปกติ

⚡ เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) vs เครื่องกระตุกหัวใจ AED ต่างกันอย่างไร?
🔹 เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker)
การทำงาน: ฝังอยู่ในร่างกายผู้ป่วยแบบถาวร ส่งสัญญาณไฟฟ้าเล็ก ๆ กระตุ้นหัวใจให้เต้นเป็นจังหวะปกติ
เหมาะกับ:
ผู้ป่วยหัวใจเต้นช้า (Bradycardia)
ผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะเรื้อรัง
ผู้ป่วยหัวใจล้มเหลวที่มีปัญหาการเต้นของหัวใจ
เป้าหมาย: รักษาอัตราการเต้นหัวใจให้สม่ำเสมอในระยะยาว
🔹 เครื่องกระตุกหัวใจ AED (Automated External Defibrillator)
การทำงาน: ใช้งานภายนอกร่างกาย ใช้ในกรณีฉุกเฉิน ตรวจจับจังหวะการเต้นหัวใจ หากพบว่าผิดปกติ จะส่งกระแสไฟฟ้าแรงสูงเพื่อ “ช็อก” หัวใจให้กลับมาเต้นตามปกติ
เหมาะกับ:
ผู้ที่หัวใจหยุดเต้นกะทันหัน (Cardiac Arrest)
ภาวะหัวใจเต้นผิดปกติรุนแรง เช่น Ventricular Fibrillation
การใช้งาน:
มักติดตั้งไว้ในสถานที่สาธารณะ เช่น สนามบิน โรงเรียน สำนักงาน ห้างสรรพสินค้า
ใช้คู่กับการทำ CPR เพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วยฉุกเฉิน
📊 ตารางเปรียบเทียบ
| คุณสมบัติ | เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) | เครื่องกระตุกหัวใจ (AED) |
|---|---|---|
| ลักษณะการใช้งาน | ฝังในร่างกาย ใช้ถาวร | ใช้ภายนอกร่างกาย ในภาวะฉุกเฉิน |
| หน้าที่หลัก | ควบคุมหัวใจให้เต้นสม่ำเสมอ | ช็อกหัวใจเมื่อหยุดเต้น/เต้นผิดจังหวะรุนแรง |
| เหมาะกับ | ผู้ป่วยโรคหัวใจเรื้อรัง | ผู้ที่หมดสติ หัวใจหยุดเต้นกะทันหัน |
| ระยะเวลา | ดูแลระยะยาว | ใช้เฉพาะฉุกเฉิน |
| ผู้ใช้งาน | แพทย์เป็นผู้ฝังให้ | ใครก็ใช้ได้ (มีคำแนะนำเสียงจากเครื่อง) |
🛒 ซื้อเครื่องกระตุ้นหัวใจ หรือ AED ที่ไหนดี?
โรงพยาบาลและสถานพยาบาลชั้นนำ – มั่นใจได้ว่ามีมาตรฐานและมีแพทย์แนะนำ
ร้านจำหน่ายอุปกรณ์การแพทย์ – เลือกที่มีใบรับรองชัดเจน
ตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ – ตรวจสอบการรับรองมาตรฐาน เช่น CE, FDA, อย.
ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ – เพื่อเลือกประเภทและรุ่นที่เหมาะกับอาการและงบประมาณ
💚 ทำไมต้องเลือก FASICARE?
FASICARE คือศูนย์รวมอุปกรณ์ทางการแพทย์และอุปกรณ์ดูแลผู้ป่วย/ผู้สูงอายุที่ครบครัน:
มีสินค้าได้รับมาตรฐานสากล (ISO13485, IEC, CE)
ทีมผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำและบริการหลังการขาย
มีบริการจัดส่ง รวดเร็ว พร้อมสอนการใช้งานจริง
ให้คำปรึกษาทั้งด้านสินค้าและความรู้สุขภาพ เพื่อนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน
✨ เพราะสุขภาพและความปลอดภัยของคุณและครอบครัวคือสิ่งสำคัญที่สุด ฟาซิแคร์พร้อมอยู่เคียงข้างคุณ
ช่องทางการติดต่อ Fasicare
Website:
www.fasicare.com
Telephone:
0-2019-1388 (ต่อ 11, 12, 13) | 086-300-2582, 096-935-7475
Line Official:
@fasicare
Facebook:
facebook.com/fasicare
E-mail:
fasicareshop@gmail.com
Instagram:
instagram.com/fasicare
Youtube:
youtube.com/fasicareshop


